หมวดหมู่
Uncategorized

Mind full or Mindful, Don’t mind

จะ mind full หรือ mindful
มันก็เรื่องของ mind
ไม่ใช่เรื่องของเรา (not mine)
ถ้ายังหลงเกลียด mind full
หลงชอบ mindful ก็ยังไม่ mindful
หมวดหมู่
Uncategorized

รู้ทันอาการเยอะ

#ฝึกรู้ทันอาการเยอะ
เยอะแล้วยุ่ง เงื่อนไข กฎเกณฑ์เยอะ
ยอมรับความจริงที่ปรากฏตรงหน้าไม่ได้
บ่นต้องอย่างนั้น ไม่น่าอย่างนี้
ทำไมถึงไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้
มีอย่างนี้ อยากได้อย่างนั้น ฯลฯ

#ฝึกยอมรับความจริงที่กำลังเผชิญ

#ฝึกยอมรับความจริงที่กำลังเผชิญ

หมวดหมู่
Uncategorized

ฝึกสติไม่ห้ามคิดลบ

ฝึกสติไม่ใช่เพื่อหยุดคิดลบ
แต่ฝึกให้รู้ทันเวลามีความคิดลบเกิดขึ้น
แล้วไม่หลงไปกับความคิดลบนั้น
ฝึกใหม่ ๆ ก็มีหลงไปบ้าง ทันบ้างไม่ทันบ้าง
เป็นธรรมดา เมื่อชำนาญขึ้นก็หลงไปตามความคิดลบน้อยลง
สั้นลง ในที่สุดก็เป็นอิสระจากความคิดลบได้
ย้ำว่าความคิดลบจะยังคงเกิดขึ้นได้
คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด พยายามห้ามความคิด
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคิด รู้แย่ที่หยุดไม่ได้ เลยพานว่ายาก
บางคนมีความคิดไม่ดี ก็ตามด้วยความรู้สึกผิด
สร้างทุกข์สร้างภาระให้กับจิตใจ ที่ถูกที่ควรคือ
ให้มองหรือวางใจว่าความคิดเป็นแค่สิ่ง ๆ หนึ่งฅ
หรือปรากฏการณ์หนึ่งที่ใจรับรู้ ไม่ใช่สิ่งที่น่ายึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา
หมวดหมู่
Uncategorized

Neither mind full nor mind empty

ภาพนี้ดูเผิน ๆ ไม่พิจารณาอะไรมากคงจะถูกใจทุกคน โดยเฉพาะคนที่สนใจเรื่องสติหรือ mindfulness แต่หากพิจารณาให้ลึกซึ้ง อาจจะตีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากแก่นของ mindfulness กล่าวคือ เกิดความเข้าใจว่า mindfulness ทำให้ได้ความสงบ สมองปลอดโปร่ง ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านวุ่นวาย คือเปลี่ยนจากภาพด้านซ้ายกลายเป็นภาพด้านขวา

ที่ถูกต้องแล้ว mindfulness เป็นไปเพื่อใจที่เปิดกว้าง เป็นกลางต่อทุกสภาวะ (ฝึกใหม่ ๆ ยังไม่กลางก็เปิดใจยอมรับ) ไม่หลงไปเกลียดทางซ้าย ไม่หลงไปยึดไปอยากได้หลงชอบจะเอาแต่ข้างขวา ฝึกให้เป็นผู้สังเกต ในภาพก็คือ คนตัวเขียว ๆ ที่ไม่ดิ้นรนหนีซ้ายไปเอาขวา ไม่หลงได้ขวาแล้วก็อยากยึดไว้ไม่อยากให้ความสงบหายไป   หากความเข้าใจและเห็นถูก เห็นตรงตามนี้ การฝึกสติจะเป็นเรื่องที่เรียบง่าย เพราะเป็นฝึกละ ฝึกปล่อย ไม่เอาอะไร
หมวดหมู่
Uncategorized

สคส ๒๕๖๕

หมวดหมู่
Uncategorized

หัดอยู่เฉย ๆ (อีกครั้ง)

อย่ามัวเสียเวลาดิ้นรนเรียนรู้
เทคนิกวิธีจัดการอารมณ์
เริ่มฝึกอยู่เฉย ๆ กับอารมรณ์บ้าง
เบื่อ เหงา เซ็ง เศร้า ฯลฯ นั่งอยู่กับมันไป
ใหม่ ๆ ก็แค่ตั้งใจจะหัดอยู่กับอารมณ์
ให้ได้มากขึ้นโดยไม่ดิ้นรน
จัดการวุ่นวายใจกับมัน แค่อยู่เฉย ๆ
ใจกว้างเปิดรับ ไม่ผลัก ไม่หลงตาม
ทำได้ดีง่ายบ้างยากบ้างหัดไปฝึกไป
ความชำนาญเข้มแข็งของจิตจะพัฒนาขึ้น
เป็นกลางต่ออารมณ์มากขึ้น
“สักแต่ว่า” เป็นอารมณ์ที่ปรากฏได้มากขึ้น
ความยึดถือในอารมณ์จะค่อย ๆ เบาบางลง
นี่คือ การ #upskill ที่สำคัญที่สุดยิ่งกว่า skill ใด ๆ
หมวดหมู่
Uncategorized

หมั่นเกาะอยู่กับหลักอย่าปล่อยใจล่องลอย

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฝนจะตก แดดจะออก ไฟดับ เครียด เหงา เศร้า สนุก เบื่อ ฯ มันแค่ชั่วคราว ให้มันเป็นไปของมันอย่าไปยุ่งกับมัน มีอะไรที่ควรทำก็ทำไป ทำเพื่อไม่ให้หลงจมไปเท่านั้น ไม่ใช่ทำให้มันหาย  เหมือนน้ำป่ามาเราทำได้คือเกาะหลักไว้แค่นั้นจนกว่าน้ำมันจะลง ไม่ใช่เกาะหลักเพื่อให้น้ำลง หรือมัวแต่เร่งลุ้นให้น้ำลงเร็ว ๆ เกิดมันลงช้าก็เหนื่อยเปล่ากับการลุ้น

หลักสำหรับชีวิตที่ไม่ต้องหาคือกายของเรา ระลึกที่กายที่ลมหายใจไว้เรื่อย ๆ ให้ใจอยู่กับหลัก กระแสอารมณ์อะไรพัดมาก็แค่เกาะหลักไว้ ทำบ่อย ๆ ก็จะมั่นคงเหนียวแน่น ไม่หลุดลอยไปตามกระแสความคิดอารมณ์ความรู้สึก

หมวดหมู่
Uncategorized

เราภาวนาไปเพื่ออะไร

ตอบคำถามโดย รศ. นพ. ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ในโครงการ 15 ปี จิตตปัญญาศึกษา พาใจกลับบ้าน

จัดโดย ทีมอาสากิจกรรมภาวนา 8@Home วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน 2564 เวลา 20.00-21.20 น.

ถาม: เราภาวนาไปเพื่ออะไร

ความหมายของคำว่าภาวนาคือ ทำให้เจริญขึ้น สิ่งที่ไม่มีก็ทำให้มีขึ้น ไม่ได้หมายถึงอะไรทางกายภาพ แต่เป็นนามธรรมล้วน ๆ คือเรื่องของการพัฒนาจิตใจ จิตใจทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ เมื่อรับรู้ก็มีกระบวนการที่ดำเนินการตามข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่ในองค์ประกอบของจิต  ที่เราเรียกว่าขันธ์ ซึ่งก็มีการปรุงแต่ง มีการแต่งเติม เทียบเคียงกับของเก่า ดังนั้นการภาวนาก็เพื่อพัฒนาให้เราเข้าใจกระบวนการตรงนี้ ว่าที่เราเห็น ๆ ที่เราสัมผัสกันได้นั้น มีที่มาที่ไป มีเบื้องหลังการถ่ายทำของมัน เหมือนภาพยนตร์ที่มีเบื้องหลังการถ่ายทำ ไม่ใช่ของจริง 

เรากำลังพัฒนาดวงตาที่เห็นความจริงของปรากฏการณ์ นี่พูดถึงแก่นกันเลย ไม่ได้พูดเรื่องของคุณงามความดีหรือการทำจิตใจให้ผ่องใส ให้สงบ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ที่ภาวนาคือเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นธรรม เห็นตามความเป็นจริง อาจดูเหมือนพูดลึกไปสักนิด แต่มันคือปลายทางสุดท้าย เมื่อเราเข้าใจแบบนี้ จะรู้ว่าทิศทางที่เราเดินไปสุดทางคืออะไร จะเดินไปได้ถึงตรงไหน เราก็เดินได้ไม่ผิดทาง โอกาสหลงทางจะน้อยลง

เรามาภาวนาไม่ได้เพื่อเอาอะไรมาเติมเข้าไป แต่ทำเพียงเพื่อสังเกตสิ่งที่เป็นไป เรามาเรียนรู้เพื่อให้ความคิดสัมผัสผัสสะ ระบบประสาท ระบบร่างกาย การรับรู้ของเรามีความสามารถที่จะสังเกตเห็นความเป็นไปที่ละเอียดในเชิงของกระบวนการ นี่จึงไม่ใช่การมาเพิ่มเติม หรือใส่อะไรเข้าไป แม้จะบอกว่าเราต้องเพิ่มความเพียร เพิ่มศรัทธา แต่ก็เป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจให้ถูกต้องขึ้น ไม่ได้เป็นไรเพื่อจะเอาอะไร แต่เพื่อเห็นและเข้าใจตามความเป็นจริง อันนี้เป็นแก่น (3.50) 

การจะเห็นหรือเข้าใจตามความเป็นจริง เนื่องจากเราคุ้นชินกับการทำงานของจิตใจแบบเดิม ๆ ด้วยการคลุกเข้าไปกับเหตุการณ์ เหมือนเราหลงเข้าไปกับกระบวนการนั้น ดังนั้น ความสามารถที่จะสังเกตสิ่งที่เป็นไปในชีวิตตามความเป็นจริงจึงน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่เราหลงเข้าไปกับเหตุการณ์เลย การสังเกตความเป็นจริงที่เราพูดกันนี้ จึงเป็นการทำที่สวนทางกับความเคยชินเดิม ดังนั้น สิ่งแรกเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะเห็นแบบแผนของความคุ้นชินเดิม ๆ ที่เรียกว่าขันธ์มันทำงานเป็นอัตโนมัติตามเหตุตามปัจจัย เห็นทุกอย่างว่ามันมาจากเหตุปัจจัย และเริ่มรู้ว่าเหตุปัจจัยนั้นคืออะไร (4.30)

เดิมเราไม่เคยรู้เหตุปัจจัย เราได้แต่เดาว่ามาจากนู่นนี่ ตอนนี้เรากำลังจะเริ่มเข้าใจเหตุปัจจัยว่า เหตุที่แท้จริงมีที่มาอย่างไร เหตุที่ทำให้มันจบ ให้มันหายไปคืออะไร มันเกิดขึ้นมาจากเหตุอะไร มันหายไปมาจากเหตุอะไร แล้วก็ถ้าเราจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก เราจะทำอย่างไร เราจะวางใจอย่างไร จะเห็นอะไร เราจึงจะถอดถอนออก ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นอีกแล้ว เป็นการวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งหมด เป็นปลายทางสุดท้าย 

ถ้าเอาแบบบ้าน ๆ เอาเบื้องต้นก่อน คือเราภาวนาเพื่อให้จิตผ่องใสเบิกบาน ความผ่องใส ความเบิกบานใจจะเกิดขึ้นจากการที่เรารู้ทันว่าเราเอาความไม่ผ่องใส เรายึดถือเอาความหนัก ความไม่ผ่องใสอยู่ ที่เราเรียกว่านิวรณ์ทั้ง 5 ที่ทำให้จิตเศร้าหมอง เราก็หัดรู้ทันอาการของจิตที่ถูกนิวรณ์ครอบงำ เมื่อรู้ทีนึงก็หลุดจากการถูกนิวรณ์ครอบงำทีนึง รู้บ่อย ๆ ก็ถูกครอบงำน้อยลง คล้าย ๆ กระจกที่ถูกฝุ่นเกาะเรื่อย ๆ รู้ทันบ่อย ๆ ก็เหมือนได้เช็ดฝุ่นบ่อย ๆ กระจกก็มีความใสขึ้น แต่ใสยังไงก็ยังมีกระจก แก่นสุดท้ายของพุทธศาสนาคือ ปฏิบัติธรรมจนเห็นแจ้ง เห็นจริง ไม่มีกระจก ไม่มีอะไรให้ฝุ่นเกาะแล้ว (6.15) 

ระหว่างนี้เราก็เช็ดกระจกไปก่อน เช็ดไปเราก็ฝึกเห็นอาการที่จิตมันมัว จิตไม่ผ่องใสไปก่อน จิตไม่ผ่องใสจากอารมณ์ จากความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ อันนี้ต้องหมั่นสังเกตด้วยตัวเราเอง ว่าจิตที่มีความขุ่นมัว (อกุศล) มีความไม่ผ่องใสเกิดขึ้นนั้น มีอาการอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเหงา ความเบื่อ ทั้งหลายที่เราเกิดความไม่พอใจขึ้น หรือแม้แต่ความพอใจที่เกิดขึ้นก็ตาม การหลงยึดความพอใจ สักพักสิ่งที่เราพอใจมันก็จะหายไป ไม่มีอะไรอยู่กับเราถาวร เราพร้อมหรือเปล่าที่จะรู้ว่าเดี๋ยวความพอใจมันก็ไป เวลามีความสุขเราก็อยู่กับมันพร้อมกับก็รู้ว่ามันก็ไม่เที่ยง พอเวลามันไปก็มีความเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา ไม่คร่ำครวญยาวหรือเยอะแบบที่เคยเป็น แล้วก็กลับมาตั้งหลัก นี่คือการใช้ชีวิตประจำวันของเราให้ใจเราเป็นปกติ ตามที่ได้คุยกันคราวที่แล้วว่าเราภาวนาเพื่อให้จิตใจมีความปกติมั่นคง ที่จะเผชิญปัญหาต่าง ๆ (7.32)

ถาม: เวลานอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมา เกิดจากเราดูตัวไหนในใจไม่ทันหรือเปล่า เพราะเมื่อนอนไม่หลับ จิตมันดิ้น กายมันก็ดิ้นไปด้วย 

ส่วนใหญ่คนที่นอนไม่หลับมีปัญหาตรงที่อยากนอนให้หลับ เราไม่ได้เป็นกลางกับสิ่งที่เป็นอยู่ มีคำแนะนำแรกคือ ให้เรานอนไม่หลับอย่างเป็นสุขก่อน คือไม่หลับก็ไม่เป็นไร ศาสตร์เรื่องการนอนบอกว่าการได้พักผ่อนสำคัญกว่าการหลับ หลับได้ก็ดี หลับไม่ได้ก็ได้พักผ่อน แต่พอเราเอาการหลับมาเป็นใหญ่ เมื่อหลับไม่ได้ก็กลายเป็นไม่ได้พักไปด้วย เกิดความดิ้นรนจะให้หลับ 

หลักการคือเมื่อไม่หลับแต่ได้พัก (restful) ก็คือจบ เราไม่จำเป็นต้องนั่งนับชั่วโมงการนอน ไม่ต้องมีการรอคอยเพื่อที่จะหลับ เพราะพอไม่หลับแล้วรอคอย แล้วเกิดความกระสับกระส่าย จากนั้นก็มีท่าทีของการเพ่งเล็งอยากได้ เมื่อไม่ได้ก็เกิดการคับข้อง เมื่อคับข้องก็มีความดิ้นรน พลิกทางโน้นทีทางนี้ทีจากความไม่สบาย ความอึดอัดคับข้อง 

นี่เป็นสูตรสำเร็จที่ว่า เมื่อไรที่มีความเพ่งเล็งอยากได้อะไรบางอย่าง เมื่อได้มันก็จะดีใจ ดีใจแล้วก็จะติดใจ เช่นวันนี้ทำได้ วันนี้หลับ วันรุ่งขึ้นก็จะเล็งแล้ว ว่าคืนนี้ขอหลับแบบเมื่อวาน นอนท่านี้ ท่องแบบนี้ อยากให้หลับแบบเมื่อวาน พอเพ่งเล็งอยากได้ก็จะไม่นอน เราภาวนาเพื่อที่จะถอนความเพ่งเล็งอยากได้ออกจากทุก ๆ อย่าง ถอนออกไม่ได้หมายความว่าทำได้ทุกครั้ง แต่มันก็จะน้อยลง ไม่ไปยึดว่าจะต้องได้อย่างนั้นทุกครั้ง ความบีบคั้นก็จะน้อยลง (10.37) 

ตอนที่เรานอนเป็นตอนที่เรามีภาระน้อยลง สมองส่วนเรื่อยเปื่อยจะปล่อยความคิดเรื่อยเปื่อยออกมา เราก็อาจหางานให้มันทำ เช่น ล่องลอย เนื้อหาที่ออกมาเป็นความคิดเรื่อยเปื่อยจะน้อยลง นี่อาจช่วยได้ แต่ก็อย่าหวังว่าทำแบบนี้แล้วจะนอน แค่หวังว่าจะดีขึ้นจะไม่ทรมาน ไม่ใช่ว่า เอ… เราก็ทำอย่างนี้แล้วทำไมยังไม่นอนอีก นี่ก็หวังอีกแล้ว 

ถาม: นอนหลับแล้วฝันร้ายบ่อย มีคำแนะนำอย่างไร 

ถ้ามักฝันร้ายเรื่องเดิม ๆ มีคำแนะนำให้ภาวนาก่อนนอน ให้ใจว่าง ๆ ไว้ ถ้าฝันร้ายประจำ ๆ มานานมากแล้ว อาจต้องไปดูสาเหตุว่ามีอะไรตกค้างอยู่ภายในใจเรา เช่น อารมณ์หรือความฝังใจบางอย่างทำงานในขณะที่เราหลับ แต่ถ้าจะว่ากันในลักษณะจิตใจที่ธรรมดา อาจสังเกตว่าระหว่างวันเรามีอารมณ์อะไรสะสมอยู่ ในชีวิตมีความบีบคั้นอะไรอยู่หรือเปล่า ที่บางทีมันจะไปปรากฏในความฝัน เบื้องต้นอาจใช้การสังเกตว่าแต่ละวันที่ฝันหรือไม่ฝันมาจากอะไร เวลานอนที่เปลี่ยนไปหรือเปล่า ออกกำลังกายมากไป หรือกินมากไปหรือเปล่า แต่ถ้าฝันร้ายธรรมดาไม่ถึงขนาดทำให้เราต้องตื่นขึ้นมา ก็ไม่น่าต้องไปทำอะไรกับมัน 

หากมีฝันร้ายที่เป็นเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ บางทีเราใช้วิธีบอกตัวเองไว้ล่วงหน้า ว่าถ้าฝันแบบเดิมอีกจะทำอย่างไร ผมเคยฝันเจอปีศาจน่ากลัวจนต้องหนีซ้ำ ๆ จากนั้นใช้วิธีบอกตัวเองว่า ถ้าฝันอีกจะไม่หนีแล้ว จะยอม พอฝันเจอปีศาจอีกก็ยอม จากนั้นก็จบ แม้จะฝันเรื่องเดิมนั้นอีก ก็ยอม แล้วก็ทำให้ทุกอย่างจบเร็ว ไม่ต้องหนีจนเหนื่อยอีก 

นี่เป็นหลักเดียวกันกับการนั่งภาวนา เกิดอะไรขึ้นก็ยอมรับมัน ที่จริงการยอมรับแบบนี้ใช้ได้เช่นเดียวกันกับทุกเรื่อง เรามักไม่ยอมรับความรู้สึกเสียใจ ความเหงา ความเบื่อ และเราก็ดิ้นรน เราลองทำตัวแบบสยบยอม ยอมที่จะอยู่รับรู้ไปเฉย ๆ (14.48) 

ถาม: เอาการภาวนามาช่วยเยียวยาความเจ็บป่วยทางกายได้อย่างไร 

เราคงไม่ได้เน้นว่าภาวนาแล้วโรคนั้นจะหายหรือไม่หายอย่างไร แต่ภาวนาทำให้เราอยู่กับความเป็นจริง และเราก็เผชิญความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยความเข้าใจ ด้วยความอึดอัดคับข้องน้อยลง ส่วนการรักษาที่ควรทำอะไรก็ทำไป และเราไม่บีบคั้นใจเราด้วยการนั่งตั้งคำถามว่าทำไมไม่หาย เมื่อไหร่จะหาย 

แก่นของภาวนาคือ การเห็นทุกอย่างเป็นปราฏการณ์ ความเจ็บปวดก็เป็นเวทนา เห็นมันโดยความเป็นเวทนา ไม่ใช่เป็นเราที่ปวด แต่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องค่อย ๆ ฝึกไป มันเป็นความสามารถที่จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ หัดใหม่ ๆ ก็จะยังเป็นเราที่ปวด เราก็ซ้อมไปเรื่อย ๆ ซ้อมให้เห็นทุกอย่างโดยความเป็นปรากฏการณ์ เห็นความกลัว ความโกรธ ความเหงา ความเบื่อ ความเจ็บ ความปวดโดยความเป็นปรากฏการณ์ทั้งหมด 

ใครที่นั่งสมาธิก็ลองหัดดู เวลาที่ปวดเมื่อยให้เราฝึกมองมันเป็นเวทนา เป็นสภาวะหนึ่งที่ปรากฏให้เราเห็น แล้วเราก็วางใจเป็นกลาง ๆ เราจะพบว่าเราอยู่ได้นะ อยู่ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่เวลาที่เราไปยึดว่ามันเป็นเรา เราดิ้นรนอยากหาย ตั้งคำถามเยอะแยะ นั่นคือเราเริ่มไปยุ่งกับมันแล้ว มีปัญหาแล้ว อะไรที่เรายุ่งกับมัน มันก็จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา 

จะไม่เน้นเรื่องทำสมาธิแล้วหายจากโรคนั้นโรคนี้ที่มีคนพูดกันเยอะ มันไม่ค่อยได้ประโยชน์ในแง่ที่ว่า มีคนสนใจเรื่องแบบนี้เยอะแต่ไม่ลงมือภาวนา สนใจเพียงแต่ว่าสมาธิไปส่งผลอะไร อย่างไร ซึ่งก็เป็นเรื่องของการเพิ่มศรัทธาให้อยากจะทำ แต่เวทีนี้คงไม่ได้จำเป็นต้องปลุกศรัทธาให้เห็นอานิสงส์ของการภาวนาว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราน่าจะก้าวข้ามตรงนั้นมาแล้ว ให้เรียนรู้ที่จะเอาการภาวนามาใช้ดูแลในยามที่มีความทุกข์ทรมาน ไม่สบายกาย ให้ประคองใจได้ ไม่มีความป่วยทางใจซ้ำ ให้พออยู่ได้ ไม่ทุรนทุราย ไม่ทรมานมาก วางใจได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เราอยู่กับความเจ็บไข้ได้ป่วยได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือความก้าวหน้า แม้อาการป่วยจะหายหรือไม่หายก็ไม่ทำให้จิตใจหวั่นไหวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราเป็นอิสระจากโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นประมาณหนึ่ง อะไรที่ต้องดูแลรักษาก็ทำไป และเราจะไม่ทุกข์ซ้ำซ้อน ทุกข์แค่กายก็พอ แต่ใจเราทุกข์กับร่างกายน้อยลง 

ใครที่ยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ซ้อมไปเรื่อย ๆ เพราะเรารู้ว่าวันนึงก็ต้องพบกับความเจ็บไข้ได้ป่วย สมมติเวลานั่งสมาธิแล้วเราปวดขา ก็ลองนึกซ้อมว่านี่คืออาพาธอย่างหนึ่ง เป็นความเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง เราลองวางใจอยู่กับมันดูมั้ย ว่าเราก็อยู่กับความป่วยทางกายนี้ได้นะ ถ้าสักวันหนึ่งเราป่วยจริง ๆ เราก็จะพอประคองใจเราได้ นี่เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เราไม่ได้หวังว่าเรานั่งสมาธิภาวนาแล้วจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เพราะโรคภัยไข้เจ็บเป็นของธรรมชาติ อย่างไรก็หนีไม่พ้น อย่าภาวนาเพื่อจะหนีความจริง เราไม่มีทางรู้ว่าโรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนเราเมื่อไหร่ (19.18) 

ถาม: อาจารย์เคยบอกให้เราโอเคได้กับการที่อะไร ๆ ไม่โอเค ขอให้ช่วยขยายความเข้าใจตรงนี้ 

นี่เป็นการภาวนอย่างหนึ่ง มองอย่างเป็นองค์รวม ไม่แบ่งแยกว่าอะไรเป็นอะไร เวลาภาวนามีคนบอกว่าเหมือนกับเราวางตัวเราไปอยู่ในพื้นที่ ในสเปซ (space) อะไรสักอย่าง เช่น ท้องฟ้า เราทำตัวเหมือนท้องฟ้าที่บรรจุทุกอย่างเลย ทั้งก้อนเมฆ หรือไม่มีเมฆก็ตาม แล้วเป็นสภาวะที่เรารู้ว่าเราอยู่เหนือสภาวะต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราดีเด่อะไร อย่างเช่น นั่งอยู่ขณะนี้ เราเห็นคนคนนึงที่เรียกว่าเรานั่งอยู่หน้าจอ ชื่ออย่างนี้ เราสัมผัสได้ รู้อย่างเป็นองค์รวมว่ามีร่างกายหนึ่งนั่งอยู่หน้าจอ มีรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง มีชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง เราไม่มีปัญหากับความไม่รู้เรื่อง ไม่มีปัญหากับความไม่ชอบใจ ไม่มีปัญหากับความเมื่อยความขบ ไม่มีปัญหากับการฟังไม่รู้เรื่อง การฟังไม่รู้เรื่องก็เป็นสภาวะหนึ่งให้เรารับรู้ นี่เป็นการภาวนาทั้งหมด (20.47)

ถ้าเราไม่รู้เรื่องแล้วไปยึดว่า ทำไมเราไม่รู้เรื่อง ทำไมคนอื่นฟังแล้วถามจัง เค้ารู้เรื่องกันจัง เอ้า..เราก็มารับรู้ว่านี่เราดิ้นรนเปรียบเทียบแล้ว มีเรามีเขาแล้ว นี่คือส่วนเกินที่เราชิน ๆ กันมา อ้อ..เราเห็นแล้วว่านี่มาจากการที่หลงยึดเป็นเรา หลงยึดเป็นเขา แล้วก็เปรียบเทียบ แล้วก็มีเราอยากได้เราอยากดี แล้วก็สงสัยว่าทำไมเราไม่ได้ทำไมเราไม่ดี เราเริ่มเห็นกระแสเชื่อมโยงเป็นลูกโซ่มัน สาวกลับมาเราเริ่มเห็นว่ามันเริ่มต้นจากการหลงยึด ยึดเป็นตัวเป็นตน เห็นครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อไปการหลงไปยึดเป็นเรื่องเป็นราวอะไร ก็จะเริ่มเห็นได้ว่า อ๋อ..มาจากการยึดมั่นถือมั่น เริ่มเข้าใจกระบวนการของธรรมะภาคประสบการณ์ตรง ไม่ใช่ภาคของหัวสมองที่ท่องได้ มันจะไม่ใช่เรื่องของ intellectual ที่เข้าใจด้วยความคิด แต่เป็นการที่เราไปตระหนักและสัมผัสรับรู้ได้ แม้จะแว้บ ๆ อาจจะชัดเจนบ้าง แล้วก็งงใหม่ ก็ไม่เป็นไร (21.55) 

ถาม: สติคือยังไง สัมปชัญญะคือยังไง เราควรใส่ใจสังเกตรับรู้สองสภาวะนี้อย่างไร 

สติเป็นตัวจับอารมณ์ คือทำให้ recognize (ตระหนัก) อารมณ์นั้น ทำให้จับได้รู้ได้ว่าคืออารมณ์อะไร สัมปชัญญะเป็นปัญญา เป็นตัวดู สติและสัมปชัญญะต้องคู่กัน แปลว่าการรู้อะไรต้องประกอบด้วยการรู้ด้วยท่าทีแบบไหนจึงจะถูกต้อง ไม่ใช่การรู้เฉย ๆ 

การรู้เฉย ๆ นั้นเป็นผลมาจากท่าทีที่ไม่เอาอะไร ท่าทีที่รู้ว่าไม่น่ายึดมั่นถือมั่นจึงรู้เฉย ๆ แบบนั้น ไม่ใช่การรู้เฉย ๆ แบบมึน ๆ แบบไม่รู้ไม่ชี้นี่ไม่ใช่ ที่รู้เฉย ๆ คือมาจากการที่รู้แล้วเราวางใจว่ามันมาจากเหตุปัจจัย มันสักแต่ว่าเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย อย่าไปวุ่นวายอะไรกับมัน 

เพราะฉะนั้น อุปมาเหมือนสติเป็นตัวระลึกได้ รู้ได้ จับอารมณ์นั้นได้ จับสิ่งที่เป็นนามธรรมขึ้นมาให้ใจรับรู้ เวลาที่เรามีความตระหนักแปลว่าเราเกิดสติรับรู้อารมณ์ อารมณ์เกิดขึ้นเยอะแยะ อย่างตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นมากมายเลย แต่เราจดจ่ออยู่กับการฟัง ฉะนั้น สิ่งที่พูดก็จะปรากฏขึ้นให้รับรู้ได้ แต่ขณะที่ฟัง ๆ ไปแล้วมีอะไรบางอย่างที่ไม่เข้าใจหรืออาจนึกว่าที่พูดมันผิด ก็จะมีเสียงในหัวว่า “ไม่ใช่ พูดผิด” ใจเราก็จะลอยไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เห็นเหมือนคนนั้นคนนี้พูดเลย พอนึก ๆ ไปแล้วนึกว่าเราใจลอยแล้วนี่ สติตัวที่สองนึกขึ้นมาได้ แล้วก็กลับมาฟังต่อ 

เมื่อสติจับอารมณ์ได้ จับแล้วทำด้วยท่าทีอย่างไร ปัญญาต้องเป็นท่าทีที่ถูกต้อง แปลว่าเป็นท่าทีของการรับรู้ตามความเป็นจริง ทั้งสติและสัมปชัญญะควรมาเป็นแพคเกจอย่างนี้ ใหม่ ๆ เราอาจบอกแค่ว่าโกรธก็รู้ โมโหก็รู้ ไม่พอใจก็รู้ ทำอะไรก็สักแต่ว่ารู้ แต่มันจะสักแต่ว่ารู้แบบนี้ได้ต้องประกอบด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ต้องใส่ข้อมูลหรือ algorithm เข้าไป ว่าเห็นหรือรับรู้ด้วยท่าทีอย่างไร วางใจอย่างไร เห็นด้วยท่าทีที่รู้ว่ามันมา ๆ ไป ๆ มาตามเหตุตามปัจจัย ไม่เที่ยง ไม่คงตัว แปรเปลี่ยน ไม่คงทน เมื่อไม่เที่ยงก็ไม่สมควรยึดเป็นตัวเป็นตน ป้อนข้อมูลซ้ำ ๆ อย่างนี้ก็เหมือนกับเราไปเปลี่ยน algorithm ที่เป็นโครงสร้างในการทำงานที่เป็นข้อมูลอัตโนมัติเดิม จากข้อมูลชุดเดิมที่เคยยึดเอาจริงเอาจังก็ถูกถอดถอนออก 

ถ้าเรากำลังภาวนาอยู่แล้วเกิดความสงสัยว่านี่คืออะไร สติคืออะไร ปัญญาคืออะไร ให้เราเห็นความสงสัย อย่าเพิ่งตอบ ให้เรารู้ว่าเรากำลังอยากรู้ว่านี่คืออะไร แล้วมันเป็นอดีต มันจบไปแล้ว ถ้าย้อนคิดเรื่องอดีตก็จะรู้ด้วยการคิดเอา แล้วคิดว่ามันถูก นั่นไม่ใช่ อดีตจบไปแล้วให้เราเห็นว่ามันจบไปแล้ว เห็นว่าเราอยากรู้ เห็นความไม่พอใจหรือความพอใจ การภาวนาที่ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และไม่ไปนั่งไล่เก็บอดีตที่ผ่านไปแล้ว และไม่นั่งวางแผนตั้งท่าสำหรับอนาคต (26.26)

ตอนเริ่มต้นนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมก็ตาม หลักการคือเราอยู่กับปัจจุบัน มีแค่ปัจจุบันเท่านั้นที่เราอยู่ ความคิดอดีตก็เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ถ้าเรารู้ว่ามีการหลงคิดอดีตที่ปัจจุบัน คือเมื่อกี๊นี้เราคิดอดีต มันก็จบไปแล้ว คือสติรับรู้ว่ามีความคิด สัมปชัญญะบอกให้รู้ว่าควรนึกควรคิดหรือควรใส่ใจอย่างไร ที่เรียกว่าโยนิโสมนสิการ มนสิการเป็นองค์ประกอบของปัญญา เป็นองค์ประกอบของสัมปชัญญะ ทำให้เรามีท่าทีที่ใส่ใจถูกต้อง เหมือนกับว่าเราเห็นอะไรแล้วเรารู้ว่านี่ไม่ใช่ของเรานะ ไม่ไปเอาของของคนอื่นมา นี่คือวางใจถูกต้อง เช่นเดียวกันที่เราก็เห็นทุกอย่างโดยรู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก ใหม่ ๆ อาจเหมือนกับท่อง แต่ทำไปก็จะเริ่มรู้สึกอย่างนี้ได้ไวขึ้น เริ่มพัฒนาขึ้น ส่วนจะรู้เห็นได้อย่างเด็ดขาดเมื่อไหร่นั่นเป็นเรื่องอนาคต (27.50)

สรุปคือเราไปแก้สัญญาเก่า ๆคือ ความทรงจำเก่า ๆ ชุดตรรกะเหตุผลเก่า ๆ ที่สะสมมาถูกทิ้ง ถูกปล่อยไป ๆ เหลือความไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร มันมาจากการถอดถอนความคิด  ความทรงจำเก่าออก อัตตสัญญา นิจจสัญญา ความเป็นตัวเป็นตน เป็นของเที่ยง สุขสัญญา เป็นของสุขเป็นของดีงาม ถูกถอดออก 

ถ้าจะแนะนำคือ อย่าไปกังวลเรื่องถูกผิด เรื่องศัพท์แสงอะไรเยอะ ให้รู้ว่าถ้าเรากำลังควานหาอะไรคือกำลังสงสัย กลับมาลมหายใจสบาย ๆ ลองกล้า ๆ หน่อย กล้าที่จะไม่รู้อะไร “เฮ้ย ถ้ามันผิดทางจะทำยังไง ถ้าไม่ถูกแล้วจะเป็นยังไง” ให้เห็นเลยว่ากำลังกังวล กำลังกลัวว่าจะผิดทาง กำลังเกิดความว้าวุ่น นิวรณ์กำลังครอบงำแล้ว เห็นตรงนั้นก็จบแล้ว กลับมาที่ลมหายใจต่อ แล้วมันก็อดคิดไม่ได้ต่อ “เอ๊ะ ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้แล้วจะทำยังไง” ก็เห็นความกลัวนั้น เห็นเป็นช็อต ๆ ไปแบบนี้ 

ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้จะง่ายมาก คือเราไม่เอาอะไร ปัจจุบันกลัวว่าจะทำผิดก็เห็นความกลัวตรงปัจจุบันนี่ถูกละ แล้วก็จบ “เอ๊ะ มันง่ายอย่างนี้เลยเหรอ ไม่ใช่แล้วมั้ง” อ้าว..กำลังลังเล ไม่มั่นใจ ก็ปล่อยความไม่มั่นใจไป กลับมาอยู่กับลมหายใจต่อ ความไม่มั่นใจก็หายไป ความเป็นกลางก็กลับมา “เอ๊ะ แล้วเราจะแน่ใจยังไงว่าเรามาถูกทาง” นี่เรากำลังไม่แน่ใจ เห็นความไม่แน่ใจเกิดขึ้น วางความไม่แน่ใจ ความไม่แน่ใจก็ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เราจะได้ไม่ด่าตัวเองว่าทำไมเราเป็นคนไม่แน่ใจ เป็นคนโลเลอย่างนี้ ไม่ใช่เรา เป็นความไม่แน่ใจ เป็นความโลเลที่มันปรากฏขึ้น มันเป็นธรรมชาติของจิตใจที่ฝึกใหม่ ๆ ก็มีความวุ่นวายแบบนี้ เราวางใจได้ว่าเป็นแบบนี้ โอเคกับความไม่โอเคได้ดีขึ้น ความไม่โอเคเกิดขึ้นในแต่ละขณะที่กำลังภาวนา ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่ในเรื่องข้างนอก มันเกิด ณ ปัจจุบันขณะเป็นคราว ๆ แบบนี้ ความผ่องใสก็เกิดเป็นคราว ๆ ไป ก็จะได้ไม่เข็ดขยาดกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น วุ่นปั๊บ..ปล่อย วุ่นปั๊บ..ปล่อย ทางเริ่มโล่ง ๆ สะดวกแล้ว พร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง จะฟุ้งซ่าน จะหงุดหงิดก็ได้ จะบ้าบอคอแตกมันก็ไม่ใช่เรา เป็นแค่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น 

ถ้าพูดให้ทันสมัย นี่คือการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้จิตใจ มีอะไรมากระทบจิตใจก็ไม่หวั่นไหว ต่อไปเราไม่กลัวเชื้อโรค ไม่กลัวไวรัสทางใจที่มีเพียบเลย ความลังเลสงสัย ความเบื่อเหงาซึมเศร้า ความง่วงเหงาหาวนอน สารพัดเลย ไวรัสทางใจเหล่านี้มาก็ไม่ทำให้เราหวั่นไหว จะกลายเป็นว่ามันมาปรากฏทีก็กระตุ้นภูมิคุ้มกันเราที ภูมิคุ้มกันก็มั่นคงขึ้น ใหม่ ๆ ภูมิคุ้มกันอาจอยู่แค่ 3 นาที หรืออยู่แค่ตอนนั่งสมาธิ พอเลิกนั่งภูมิคุ้มกันก็หายหมด นั่นก็เป็นธรรมดา เราก็เติมภูมิคุ้มกันเรื่อย ๆ เติมในระหว่างวัน กระตุ้นไปเรื่อย ๆ จะใช้เวลากระตุ้นนานแค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะภูมิของศรัทธามีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว มั่นใจว่าทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ได้ผลแน่นอน (31.57)

ถาม: ที่อาจารย์บอกว่าฝึกคิดที่จะกล่อมใจเรา หมายความว่าการฝึกเจริญสติสามารถใช้ความคิดนำได้ใช่หรือไม่

ได้ คำว่าโยนิโสมนสิการเป็นองค์ประกอบสำคัญ การที่เรามาคุยกันนี่เรียกว่ามีกัลยาณมิตร เราได้มาหนึ่งข้อแล้ว ส่วนโยนิโสมนสิการคือการใส่ใจถูกต้อง ทั้งสองข้อนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีสัมมาทิฏฐิ 

ใส่ใจถูกต้องคือ การรู้เห็นตามความเป็นจริง ทีนี้ความเป็นจริงอะไร ก็คือการใส่ใจด้วยท่าทีที่ถูกต้องที่สอดคล้องกับความเป็นจริง อาจยังไม่เห็นหรอก แต่ก็ใส่ใจโดยสอดคล้องกับความเป็นจริงว่ามันไม่เที่ยงนะ ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นนะ ตอนเดินจงกรมเราทำได้ทุกอย่าง ไม่น่ายึดมั่นทั้งนั้นแหละ แต่พอออกจากลานจงกรมเรายังยึดก็ไม่เป็นไร 

เหมือนกับเราเข้าฟิตเนส ก็ทำทุกอย่างให้เต็มที่ ทำให้เข้มข้น เป็นการซักซ้อมร่างกาย หรือเหมือนการซ้อมเสิร์ฟลูกเทนนิส ก็ซ้อมและทำได้ทุกครั้ง ส่วนเวลาจะเล่นจริงก็ไม่เป็นไร อาจพลาดบ้างก็ไม่เป็นไร หมายความว่าอย่างน้อยตอนนั่งสมาธิ ตอนเดินจงกรมเริ่มทำได้ วางใจได้ดีขึ้น ก็จะมีผลต่อไปในชีวิตประจำวันเราด้วย 

มีคำที่บอกว่าปัญญาอบรมสมาธิ คือ การช่วยคิดก็เป็นการช่วยให้เราคลายใจ วางใจจากความวุ่นวาย ช่วยได้ การให้เหตุให้ผลอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องผิด เมื่อเราเห็นแล้วรู้แล้วว่าสิ่งนี้ปรากฏ แล้วเราสำทับว่าสิ่งที่ปรากฏนี้ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เป็นการเตือนตัวเอง ตนเตือนตน นี่คือสติระลึกได้ และปัญญาเตือนตน ว่าอย่าไปยึดมันนะ ของนี้มันจบไปแล้วนะ อันนี้ใช้ได้ เสียงที่ช่วยให้เราวางการยึด วางใจในสิ่งที่เห็น เป็นการดำริเพื่อวางภาระ (34.21) 

นี่ไม่ใช่การคิดดีคิดบวก ไม่ใช่การเอาน้ำดีมาไล่น้ำเสีย เราไม่ได้รังเกียจสิ่งที่ปรากฏ แต่เป็นการที่เรายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า โทสะเกิด เห็นโทสะเกิดโดยความเป็นโทสะ ไม่ใช่เรามีโทสะ นี่คือสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้น ต่อ ๆ ไปเมื่อพัฒนาขึ้น นอกจากเห็นความโกรธที่ปรากฏ ก็จะเห็นเหตุแห่งความโกรธที่ปรากฏ เห็นเหตุที่ทำให้ความโกรธดับหายไป เหตุที่ว่าคือการมนสิการถูกต้อง ไม่ทำอโยนิโสมนสิการ คือไม่ยึดว่าเป็นเรา ว่าเราเป็นความโกรธอย่างโน้นอย่างนี้ ว่าความโกรธทำไมไม่หายไปเสียที ไปครอบงำมัน ไปอยากให้มันหาย ไม่วางใจว่ามันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย โดยสรุปคือความเป็นผู้สังเกตมันหายไป ความเป็นผู้สังเกตที่บริสุทธิ์มันไม่เกิด เลยกลายเป็นวุ่นวาย 

ฉะนั้นพูดอีกแบบหนึ่ง การภาวนาคือการพัฒนาให้เกิดสภาวะความสามารถในการเป็นผู้สังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมไปยุ่งเกี่ยว โอเคกับทุกอย่าง ดูมันไปอย่างที่มันเป็น ที่ผ่านมาเราเคยชินกับการดูมันไปอย่างที่เราต้องการหรืออย่างที่เราไม่ต้องการ ถูกใจก็ชอบ ไม่ถูกใจเราก็ไม่ชอบ เรากำลังจะมาถอดความเคยชินอันนั้นออก ตัวช่วยทุกอย่าง  การคิดดำริที่เป็นไปเพื่อการปล่อย การละ การงด การเว้น การคลายความยึดมั่นถือมั่น ใช้ได้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการไม่ยึดถือเป็นตัวตน ใช้ได้ทั้งนั้น 

และสังเกตว่า ถ้าดำริแบบนี้จะไม่มีคำว่า “ฉันทำได้” ถ้าใครภาวนาถูกต้อง ตัวตนเราจะไม่เพิ่ม จะรู้สึกว่ามันเป็นแค่ปรากฏการณ์ ความสงบไม่สงบ การทำได้ทำไม่ได้ ก็ไม่ใช่ฝีมือเราสักอย่าง แต่เป็นผลของจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคงผ่านการฝึกฝนเรียนรู้ เป็นผลของความเพียร เป็นผลของศรัทธา (36.57) 

จะพูดไปก็คือ การคลายความยึดถือความเป็นเราจะเริ่มกลายเป็นแก่นหล่อเลี้ยงกระบวนการเราแล้ว ถ้าภาวนาถูกต้อง สิ่งนี้จะค่อย ๆ งอกงามขึ้น ไม่มีคำถามของความเป็นเราเยอะแยะ แม้จะพูดว่าเราเห็น แต่ในความหมายมันคือเราเท่าทัน และต่อไปก็จะเริ่มเห็นว่าจิตมันเริ่มเท่าทัน 

ถาม: ตอนที่นั่งสมาธิ เราเอาสติมากำหนดรู้ที่ลมหายใจ แล้วบางภาวะที่เข้าสมาธิ สติมันหายไป แล้วก็เกิดปรากฏการณ์บางอย่าง เราเลยตกใจ สะดุ้ง แล้วจึงกลับมาทำอีกครั้งหนึ่ง มันเลยกลายเป็นการจ้อง เลยไม่แน่ใจว่าถูกผิดอย่างไร 

เวลาตกเข้าภวังค์แล้วหายไป ไม่ใช่การหลับ แต่เหมือนวูบหายเข้าไปในความสงบ อันนี้ก็เป็นปกติธรรมดา บางคนไม่เป็นก็ไม่ต้องทำให้เป็นหรอกนะ แต่บางคนมีจริตนิสัยที่จะมาทางสมถะ หรือคนที่เคยฝึกมา ก็จะเข้าสู่ความสงบได้เร็ว แต่ถ้านั่งสมาธิทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ก็ขอแนะนำว่าอย่านั่ง เพราะว่าถ้าทำบ่อย ๆ แล้ววูบแบบนี้ ก็จะไม่ได้เรียนรู้ 

ให้เรารู้ว่าถ้าเรานั่งแบบนี้เพื่อเอาไว้พักผ่อน มีความสงบแล้วเกิดความสดชื่นแจ่มใสก็ทำไป แต่ถ้าต้องการทำเพื่อความก้าวหน้า เมื่อสดชื่นแจ่มใสดีแล้วก็มานั่งต่อด้วยความเข้าใจ อย่าไปติดกับความสงบตรงนั้น 

เมื่อเกิดอะไรขึ้นแล้วก็แล้วไป อย่าไปหวาดหวั่นหรือกังวลกับปรากฏการณ์ตรงนั้น เพราะตอนนั้นมันเหมือนกับวูบไป ได้ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว ตื่นแล้วก็นั่งต่อไป ความตกใจเกิดขึ้นก็เป็นธรรมดาเพราะเราไม่เคยเจอ ไม่เคยพบ อาจมีความลังเลสงสัยก็เห็นว่ามันมีความลังเลสงสัย แล้วก็กลับมานั่งต่อไปเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันจบไปแล้ว 

แต่ถ้าทำทีไรเป็นแบบนี้ทุกที ไม่ไปไหนเสียที ก็อย่านั่งนาน พาตัวไปเดินซะ ตอนที่กลับมานั่งใหม่แล้วหากมีอาการเพ่ง เราก็จะรู้ความหนัก ๆ ของมัน เพราะมันอาจมีความระวัง ความกลัว เดี๋ยวเราก็เห็น เช่น คอยระวังว่านั่งแล้วเดี๋ยวจะเป็นแบบเดิมมั้ยเนี่ย ฯลฯ เราก็จะเห็นความดิ้นรนนั้น เมื่อเห็นก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่น ก็ปล่อยไป นี่คือการที่เรามาภาวนาไปและความรับรู้โดยความละเอียดละออแบบนี้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ และการมาเสวนา มาพูดคุยแลกเปลี่ยน จะทำให้ไม่จมติดหล่ม ไม่วนเวียนอยู่กับอาการเดิม ทำให้เดินต่อไปได้ นี่คือการมีกัลยาณมิตร (41.24) 

เราเป็นอย่างไรก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้น เพ่งก็รู้ว่าเพ่ง ถ้าเพ่งแล้วไม่รู้ก็จะเหนื่อย เผลอก็รู้ว่าเผลอ มันห้ามไม่ได้ ห้ามเพ่งห้ามเผลอไม่ได้ เพ่งหรือเผลอก็ไม่ใช่ของผิด ไม่ใช่ของต้องห้าม ไม่ใช่อะไรที่จะต้องหนีให้ไกล เราไม่หนีอะไรเลย เพ่งก็รู้ว่าเพ่ง เผลอก็รู้ว่าเผลอ อยากได้ก็รู้ว่าอยากได้ ท่าทีต่อความเพ่งความเผลอจะเริ่มมีเราไปอยู่ในนั้นน้อยลงแล้ว เป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของปรากฏการณ์ทางจิตใจ ผู้รู้ผู้ดูดูด้วยจิตใจที่เป็นกลางมากขึ้นเรื่อย ๆ เพ่งก็ไม่มีปัญหา เผลอก็ไม่มีปัญหา มันไม่มีปัญหาของใครเลย ไม่มีใครเป็นเจ้าของจะไปมีปัญหาทำไป 

แต่ถ้าเพ่งแล้วไม่รู้ กลับคิดไปว่ามันใช่นี่สิ หรือเผลอแล้วไม่รู้แล้วก็ล่องลอยไป ก็ไม่เกิดสติระลึกเท่าทันความเพ่งความเผลอ ไม่ได้บอกให้กลัวกิเลสหรือตัณหาราคะอะไร เพราะถ้ามาด้วยความไม่อยากแล้วจะลำบาก ภาระมันจะเยอะ เพราะเราก็จะยังคงมีทั้งเพ่งทั้งเผลอทั้งฟุ้งซ่าน นิวรณ์มาครบชุดอยู่แล้ว เราไม่ได้ต้องการจะหนีมัน แต่เราต้อนรับได้ว่า “มาเลย ๆ มากระตุ้นภูมิคุ้มกันเรา” เป็นภูมิคุ้มกันของความตั้งมั่นเป็นกลางต่อสิ่งที่มากระทบ 

เหมือนการฉีดวัคซีน เราฉีดวัคซีนครบแล้ว เชื้อโรคโควิด-19 หายไปจากโลกนี้มั้ย ก็ไม่ โควิดยังอยู่ในบรรยากาศ ยังคงเข้าจมูก ยังคงเข้ากระแสเลือด แต่ภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนนี้จัดการเชื้อโรคได้ จิตก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาราคะหรือความโลภโกรธหลงยังคงปรากฏ หรือเผลอ ๆ บางทีก็ยังเข้ามาบงการอยู่นิดหน่อย แต่ด้วยกำลังของสติที่ระลึกนึกได้ ด้วยกำลังของปัญญาที่ตัดขาดไปได้บ้าง เชื้อโรคจะไม่ลุกลามไปเยอะ ไม่เกิดอาการข้ามวันข้ามคืน อาจยังโกรธอยู่ชั่วโมงหนึ่งหรือ 3 นาที 5 นาที ไม่จมความเบื่อ ความเหงา ความเซ็ง ไม่งอนนาน ไม่วีนเหวี่ยงมาก ยังมีอยู่แต่น้อยลง นี่คือการที่วัคซีนทำให้ความรุนแรงของโรคน้อยลง วัคซีนทางใจทำให้ความรุนแรงของไวรัสทางใจออกฤทธิ์น้อยลง แม้ยังติดเชื้ออยู่ 

ขอให้เข้าใจให้ถูกว่า คนมีภูมิคุ้มกันทางจิตไม่ได้หมายถึงคนที่ปลอดเชื้อ เราไม่มีทางทำให้ปลอดเชื้อ เพราะเชื้อเป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยยังมีอยู่ เรายังไม่บรรลุอรหันต์ ยังไม่ขาดจากมิติของความปรุงแต่ง ก็ย่อมยังมีเชื้ออยู่ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ก็วางใจได้ (44.35) 

ถาม: ถ้าช่วงไหนเห็นอะไรก็ดับไปหมด ยังไม่ทันรู้ว่าเห็นอะไร ต้องทำอย่างไรต่อไหม

เห็นอะไรก็ดับก็เป็นอย่างนั้น อย่าไปยุ่งกับมัน ก็ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปยึดถืออะไรทั้งนั้น ก็แค่รู้ไป ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปรากฏ ให้เห็นโดยเป็นปรากฏการณ์ ไม่ไปยุ่งกับปรากฏการณ์ใด ๆ แล้วเห็นความเป็นไป 

สิ่งที่ต้องระวังคือว่า บางคนไปกำหนดไว้ล่วงหน้า เรียกว่า ไปท่อง ไปกล่อมเสียก่อน แล้วมันดับไปด้วยความคิดด้วยอะไรบางอย่าง อันนี้อาจยากนิดหน่อย ชวนให้สังเกตให้ดีว่าที่เห็นอะไรก็ดับไปหมดนี่ มันอาจเกิดจากความอัตโนมัติที่เราไปใส่ไว้อีกแบบหรือเปล่า ไปใส่เงื่อนไขบางอย่างไว้หรือเปล่า การภาวนาเราต้องการให้พ้นจากเงื่อนไข เมื่อไปใส่เงื่อนไขบางอย่างไว้ มันก็อาจดับด้วยการกล่อมแบบนั้น ไม่ได้ดับด้วยการเกิดปัญญา 

หลักง่าย ๆ คือ ไม่ว่าเห็นอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ไปวุ่นวายกับอะไรทั้งนั้น เห็นว่ามันเป็นภาวะที่ปรากฏ แล้วก็นั่งต่อไป ถ้ามันอยู่แค่นี้ที่ว่ามันดับไป แต่ไม่เห็นเหตุปัจจัย ก็จะมาถึงทางตันนิดหน่อย เพราะเป้าหมายเราต้องการให้รู้เหตุของการปรากฏ รู้เหตุที่ทำให้เกิดเวทนา และรู้เหตุที่ทำให้เวทนาดับไป ซึ่งโดยปกติเหตุที่ทำให้เกิดเวทนาก็จะเป็นอโยนิโสมนสิการคือใส่ใจไม่ถูกต้อง ไปยึดว่าเป็นเรา ไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นของน่ารักน่าใคร่ เป็นของเที่ยงถาวร ส่วนใหญ่มักมีอันนี้เป็นพื้นฐาน ทำให้ไม่สว่าง ไม่จบ ทำให้มีภาระค้างคาใจเพราะมนสิการไม่ถูกต้อง แล้วเมื่อเกิดความสงสัยก็วางใจกับความสงสัยไม่ถูกต้อง กลายเป็นเราสงสัย เมื่อรู้ว่าสงสัย เหตุของความสงสัยคืออโยนิโสมนสิการ เพราะไปยึดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่มันไม่เป็นแบบที่คิด มีเรากับมีมัน มีเรามองอย่างและมันเป็นอีกอย่าง ไม่เห็นตรงกัน ก็เลยเกิดความสงสัย 

เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็อ๋อ..เหตุของความสงสัยคือการไปยึดถือว่าเป็นตัวตน ก็ค่อย ๆ สังเกตไป ความลังเลสงสัยที่มีก็ไม่เป็นไร กล้า ๆ ไม่ต้องกลัวผิดกลัวถูก รู้ไปแบบนั้น ที่สำคัญคือ เราเห็น เรามองสิ่งนั้นด้วยท่าทีอะไร ถ้าเรามนสิการถูกต้อง เราจะมองมันด้วยความไม่น่ายึดถืออะไร มันจะดับไปด้วยเหตุของการไม่มีอุปาทานยึดมั่น 

(เสริมจากท่านนโม) ที่ว่าเห็นแล้วดับ ดับ ดับไป อันนั้นไม่ต้องไปสนใจ แต่ที่ยังมีคำถามว่าอะไรดับ แปลว่าสภาวะมันดับแต่ความรู้สึกยังดับไม่จริง เพราะยังมีตัวถามอยู่ แต่เราไม่เห็นไอ้ตัวถามนั่น เราไปมองผลที่มันเป็นอดีตไปแล้ว แต่ช่วงนั้น timeline ในจิตมันค่อนข้างละเอียดยิบ ๆ ๆ ๆ แต่การตามสภาวะที่เกิดขึ้นจริงยังตามไม่ทัน มนุษย์เราคุ้นชินกับการใช้ความคิดอย่างนี้ มันก็จะพยายามหา พยายามตั้งชื่อนู่นนี่นั่นไปกับมัน สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเราถอยกลับมาที่อดีต แต่ถ้าเกิดเห็นว่ามันดับ ดับ ดับ ดับ แล้วมันไม่มีความคิดอะไรเข้ามาอีก อันนั้นเป็นการเห็นการดับจริง การที่เราเห็นมันดับ ดับ ดับ ไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องไปพยายามตั้งชื่อหรือสงสัย มันก็จะปล่อยให้ดับไป ปล่อยผ่านไปเรื่อย ๆ โดยที่จิตไม่ไปตั้งจับอยู่ตรงนั้น สักพักมันก็จะดับหมดไป ทีนี้ ที่ถามว่าจะทำอะไรต่อ มันมีอย่างเดียวที่เหลืออยู่ ก็คือตัวที่เห็นมันดับน่ะแหละ มันยังมีอยู่ ถ้ามันตั้งมั่นพอ ก็ใช้คำธรรมะมาอธิบายจากในโพชฌงค์ ก็คือธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือวกกลับมาพิจารณาไอ้ตัวที่มันมองเห็นอยู่ ที่เป็นตากล้องที่มีเลนส์มองอยู่ แล้วสุดท้ายก็คือ ไม่เหลืออะไรให้ถ่ายรูปแล้ว มีแต่กล้องที่ยังอยู่ ทีนี้ก็ได้หันกลับไปดูกล้องแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังกล้องตอนนั้นสภาวะเป็นอย่างไร กล้าพอที่จะกลับไปเห็นตรงนั้นหรือเปล่า แล้วพิจารณาจัง ๆ ว่าตัวตน อัตตาของเรา สภาวะมันเป็นอย่างไร เพราะมีอย่างเดียวที่เหลือให้มอง ก่อนหน้านี้ซัดส่ายไปมองอย่างอื่นอยู่ มันเป็นช่วงที่จิตมีความคมและสามารถยกมาพิจารณาได้ 

ถาม: เมื่อเสร็จจากหน้าที่การงาน ต้องการพักผ่อน ใจอยากดูหนัง อยากฟังเพลง ถ้าไปดูหนังฟังเพลง แสดงว่าไหลตามความอยาก ตามกิเลสใช่ไหม เราควรปฏิบัติอย่างไร เวลาทำงานต้องคิดต้องส่งจิตออกนอก แปลว่าเราไม่ได้เจริญสติใช่ไหม

คำถามแรก เสร็จงานก็ต้องพักผ่อนบ้าง ดูหนังฟังเพลงร้องคาราโอเกะก็ได้ เป็นเวลาที่จะพักผ่อนก็พักผ่อน ให้รู้จักกาลเทศะ เรายังเป็นฆราวาส เป็นปุถุชนธรรมดา มีการพักผ่อนก็ไม่เป็นไร แค่ไม่ทำจนเกินเวลา ไม่หลับไม่นอน 

ประเด็นสำคัญเวลาที่เราภาวนาคือ อย่าตรวจสอบตัวเองเยอะ ตรวจสอบว่าเราผิดไหม เราไหลตามกิเลสหรือเปล่า ก็ใช่ ก็ไม่ได้ผิดอะไร อาจกำหนดเวลาตัวเองไว้ว่าจะดูหนังฟังเพลงถึงกี่โมง ถ้าเราดูหนังฟังเพลงไปแล้วรู้สึกผิดไป อย่างนี้ไม่ได้ ลำบาก ชวนดูว่าถ้าเราดูหนังฟังเพลงไปแล้วมันไม่เพราะ ไม่ถูกใจ หรือเวลาลูกมากวนแล้วเราโมโห ชวนให้เราเห็นโทสะนั้น มาจัดการกับโทสะนั้น หรือฟังเพลงไปเพราะ ๆ หันมาเห็นงานกองเบ้อเร่อ ก็เริ่มลังเลว่าจะเอายังไงดี งานก็ต้องทำ เพลงก็อยากฟัง เห็นอาการไหลของใจ ก็เกิดการตัดใจ วางเพลงที่ฟังก่อนแล้วไปทำงาน อย่างนี้เรียกว่าบริหารเวลาถูกต้อง ไม่หลงตามกิเลส

พูดถึงกิเลส เพื่อไม่ให้ลำบากพวกเรานัก ขอบอกว่ากิเลสนิวรณ์เอาไว้ดูตอนภาวนาในรูปแบบซึ่งเป็นขณะที่เราตั้งใจจะปฏิบัติภาวนา จะได้ไม่มีภาระกับชีวิต เพราะในขณะที่เราไม่ตั้งใจจะปฏิบัติ เราก็ไม่ต้องเรียกอาการเหล่านั้นว่านิวรณ์ เพราะมันไม่ได้มาขวางกั้นกระบวนการภาวนา เอาแค่นี้ก็พอ 

อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองเยอะ สิ่งที่ต้องระวังสำหรับนักปฏิบัติคือ กลัวผิด รู้สึกไม่ดีว่าเราไหลตามกิเลสหรือเปล่า ก็ต้องถามกลับว่าทำไมคำถามนี้ถึงปรากฏ เบื้องลึกของคำถามพวกนี้มาจากอะไร มาจากการเพ่งเล็งอยากได้ หรือมาจากมาตรฐานกฎเกณฑ์บางอย่าง ธงบางอย่างที่ตั้งไว้แรงไปหรือเปล่า จะคาดคั้นตัวเองมากไป เราจะตึงไปหรือเปล่า ถือเป็นการปฏิบัติธรรมยังไม่สมควรแก่ธรรม เหมือนเรากำลังอยู่อนุบาล แต่เราจะเอาระดับปริญญาโท ปริญญาเอกมาวัดตัวเรา นั่นจะทำให้เราเกิด conflict เกิดความยุ่งยากมากขึ้น เราภาวนาแล้วชีวิตควรจะผ่อนคลายขึ้น (54.58)

ส่วนคำถามเรื่องเวลาทำงานต้องใช้ความคิด จิตส่งออก ก็เป็นเรื่องปกติ ถ้ารู้ว่าจิตเราส่งออกนอกก็กลับมาทำงาน แค่นั้นเอง ถ้าจิตไปอีก นึกได้ก็กลับมา นึกได้ช้าบ้างเร็วบ้าง บางวันนึกได้เร็วบางวันนึกได้ช้า ก็จบแค่นี้ นี่เรียกว่าเจริญสติในชีวิตประจำวัน 

จะเห็นว่า เรามีโหมดของการตัดสิน ประเมิน ต้องการบทสรุปว่าผิดหรือถูก ให้กลับมาเห็นตรงนี้ก่อน เพราะถ้าไม่ข้ามตรงนี้เราจะมีคำถามอย่างนี้อีกเยอะเลย จะลำบากกับคำถามว่าอย่างนี้แปลว่าอะไร อย่างนั้นคือใช่หรือไม่ เพราะเราเกิดความไม่มั่นใจ ความกลัวจะผิด กลัวหลง กลัวไม่ดี ซึ่งชวนให้กลับมาเห็นตรงนี้ด้วยว่าเราปฏิบัติโดยมีพื้นฐานของความกลัวเป็นแรงขับ ถ้าเห็นตรงนี้จะหลุดเป็นสเต็ป แต่ถ้าไม่เห็นจะเหนื่อย เรื่องนี้อาจไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคน แต่ถ้าเราเห็นว่าเรากำลังต้องการหาบทสรุปว่าตกลงเราเป็นยังไง เราเจริญสติมั้ย เราทำถูกมั้ย จะมีคำพูดเหล่านี้อยู่ แสดงถึงความลังเลสงสัยเยอะ เห็นตรงนี้ก่อนที่จะพยายามไปหาผลสรุปว่าใช่ไม่ใช่ ยิ่งถ้าถามแล้วบางคนบอกว่าใช่ บางคนบอกว่าไม่ใช่ ก็จะยิ่งสับสนอีก ทำให้ภาระมาเยอะเลย จบเป็นจบ ไม่ประเมิน ไม่หาบทสรุป จิตส่งนอกก็รู้แล้วกลับมาก็จบแล้ว (56.59) 

ถาม: ปัจจุบันทำงานเป็นเซลล์ เวลาเจอสถานการณ์คับขัน บางทีเราต้องมุสาออกไป เวลาที่มุสาบางทีเราก็รู้ทันแต่ก็จำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า พอมุสาแล้วบางทีก็รู้สึกผิด ทันบ้างไม่ทันบ้าง อาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรกับคนที่ต้องทำอาชีพอย่างนี้ 

เบื้องต้น เรื่องเศร้า ๆ เรื่องเครียด ๆ เรื่องเศร้าหมองในอดีตไม่ควรคำนึง ความผิดพลาดที่ผ่านมาในอดีตไม่ควรนำมาทำให้จิตเศร้าหมอง จบแล้วก็จบไป ที่ทำได้คือ ต่อไปเราจะทำอย่างไร มีเทคนิคการสื่อสารหลายอย่าง ถ้าเป็นด้วยอาชีพ ขึ้นกับเจตนา เจตนาเราต้องการขายของด้วยอาชีพ แต่เราไม่ได้มีเจตนาหลอกลวง ข้อมูลบางอย่างเราไม่ได้บอกหรือเราบอกเกินความเป็นจริง แต่เราไม่ได้เจตนาที่จะหลอกลวง แล้วเราก็ไปฝึกเรียนรู้วิธีที่จะสัมมาวาจา ว่าเราจะสื่อสารอย่างไรที่จะไม่ปิดบังข้อมูลและไม่ได้ทำให้สินค้าเราต้องเสียหาย มันมีเทคนิควิธีการที่เราค่อย ๆ ศึกษาไปได้ 

ระหว่าได้งนี้เรายังทำได้ไม่สมบูรณ์แบบ ยังต้องฝึกฝนอยู่ สติปัญญาเรายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะมีสัมมาวาจาได้ตลอด เว้นเสียแต่ว่าบางอย่างที่จะพูดให้ถูกต้องไม่ได้ ก็อาจเงียบและเลี่ยงไป นั่นก็ถือเป็นสัมมาวาจาแล้ว แต่หากถึงที่สุดที่มันจำเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากทำไปแล้วก็จบ เผลอไปคิดแล้วเสียใจก็รู้ว่าเป็นความเผลอไปคิด มันห้ามไม่ได้ มันอาจมาเป็นลูกโซ่ เผลอไปคิดแล้ว มันอดไม่ ก็รับรู้ว่ามันอดไม่ได้ เราอาจมองว่าเรามาปฏิบัติธรรมแต่ก็ยังเผลออยู่ มันก็แค่ความเผลอ ไม่ใช่เรา เป็นจิตที่ยังไม่ค่อยมั่นคง มีเหตุจำเป็นหลาย ๆ อย่างที่เรายังต่อสู้กับการทำมาหากิน กับเหตุผลต่าง ๆ ในชีวิต ก็ขอให้เข้าใจ 

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าฟังจบแล้วจะไม่มีความคิดอย่างนั้น ๆ อีก ยังคงมีมาก็เข้าใจมัน แล้วก็ไม่มานั่งนอนซึม หรือจะไปขายของทีก็เกิดความกลัวขึ้นมาว่า วันนี้เราต้องไปโกหกอีกแล้ว อย่าเลย อย่างนั้นเยอะไป ให้ไปทำงานด้วยใจมั่นคง พร้อม ใส่ใจว่าถ้าจะพูดอะไรเราจะพูดความจริงให้มากที่สุด ถ้าเลี่ยงได้จะเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้เพราะมันเป็นสูตร เป็นวิถี ก็ค่อยมาดูว่าเราจะอยู่กับมันอย่างไร ใจเราจะได้ไม่หดหู่เศร้าหมอง (1:01:17) 

ธรรมะควรจะทำให้ชีวิตเราอยู่ง่ายขึ้น และโปร่ง เบา สบาย เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นน้อยลง 

ถาม: เราเป็นศาสนิกของศาสนาอื่นจะสามารถเข้าใจการภาวนาที่อาจารย์อธิบายอย่างไร เพื่อจะปฏิบัติตามแนวทางของศาสนาตัวเองได้ 

แก่นที่คุยกันเป็นเรื่องศาสตร์ของจิต เป็น consciousness science ทำให้เราเรียนรู้ปรากฏการณ์ที่ว่า เรารู้นั่น รู้นี่ เห็นนั่น เห็นนี่ แต่ที่จริงแล้วเนื้อแท้คือไม่มีอะไร เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดจากกระบวนการของจิตใจ เปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ที่เราพิมพ์คีย์บอร์ด แล้วก็ออกมาเป็นตัวหนังสือ เป็นนู่นเป็นนี่ 

เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการทางจิต ถ้าเราไปจริงจังกับกระบวนการมาก ไปยึดมันเป็นจริงเป็นจัง คาดการณ์อย่างโน้นอย่างนี้ เราก็จะลำบาก ดิ้นรน เสียอกเสียใจกันเยอะ ฉะนั้น เราก็ใช้ชีวิตอยู่กับมันด้วยความเข้าใจว่าอย่าไปจริงจังอะไรกับมันเยอะนะ ของมันมาตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป็นเพราะเราเป็นคนอย่างนี้อย่างนั้น ไม่ใช่ ไม่ใช่เป็นเพราะเราหรอก แต่เป็นเพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้ามา 

ทีนี้ ถ้ามองเชิงจิตวิทยา การที่เรารู้เท่าทันอารมณ์ความคิด แล้วเราไม่หลงไปโดยอัตโนมัติแล้วทำตามมันไป ก็จะมีคุณูปการมากเลย E.Q. เราก็ดีขึ้น Resilience เราก็ดีขึ้น เช่น เราเผลอไปทำอะไรไม่ดีมาแล้ว เราสามารถวางได้เร็ว รู้ว่ามันเป็นอดีต มันจบไปแล้ว Resilience ได้ว่าอดีตไม่ควรคำนึง เรารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดพลาดพลั้งเผลอ เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย อย่างนี้ใจเราก็กลับมาเป็นปกติตั้งมั่น ตามศัพท์ภาษาอังกฤษสมัยใหม่ว่า Resilience 

ส่วน E.Q. คือการที่คนเรามีความสามารถในการ regulate หรือจัดการอารมณ์ความคิดตัวเองอย่างเหมาะสม มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นดี มีความเห็นอกเห็นใจ จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นดีได้ก็ด้วยการตระหนักรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ก็คือเป็นคนที่บริหารตัวเองได้ บริหารอารมณ์ตัวเองได้ แค่นี้ก็เป็นคุณูปการเยอะแล้ว 

แต่ที่เรามาคุยกันและที่บางคนถามประเด็นที่อาจไปลึก ๆ ถ้าทิศทางตรง เป้าหมายสุดท้ายตรงกันแบบนี้ ก็จะปฏิบัติได้ไม่ยาก ไม่มีภาระเยอะ เมื่อเราฝึกฝนไปด้วยท่าทีแบบนี้ ผลที่เกิดขึ้นคือ ชีวิตประจำวันเราจะจมกับอารมณ์น้อยลง อดีตที่ผ่านไปแล้วจะครอบงำใจเราได้แป๊บเดียว มันอาจมาเยี่ยมใหม่อยู่เรื่อย ๆ แต่เราก็รู้ทันมัน ไม่คุยกับมันเยอะ ความวกวนฟุ้งซ่านสับสนกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่จบลงไปแล้วจะสั้นลง 

ไวรัสทางใจอาจยังมีอยู่ แต่กระทบเราน้อยลง ความถี่อาจยังมีแต่มันก็ไม่อยู่กับเรานาน แล้วเราก็เห็นได้ว่าช่วงไหนจิตตก ช่วงไหนใจไม่มั่นคง ช่วงไหนร่างกายไม่สบาย จิตก็ไปตามร่างกายด้วย เรื่องที่ละไปแล้วก็กลับมาคิดใหม่ ก็เข้าใจได้ว่าร่างกายอ่อนแอ จิตใจไม่ค่อยดี ธาตุไฟก็แปรปรวนไปตามธาตุขันธ์ด้วย ไม่ใช่ว่าเราแย่ลง แต่มันก็เป็นเพราะบางครั้งก็ได้ บางครั้งก็ไม่ได้ มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย การยึดถือตัวตนน้อยลง

บางคนอาจมีคำถามว่า ทำอย่างนี้แล้วเราจะไม่พัฒนาหรือเปล่า ตอบว่าการฝึกฝนอย่างนี้แหละคือการพัฒนา เมื่อความยึดถือน้อยลง อะไร ๆ มันจะเป็นธรรมชาติ
ธรรมชาติพร้อมอยู่แล้ว ธรรมชาติทำงานด้วยความเป็นปกติอยู่แล้ว เนื้อหา หลักการ เหตุผล คำสอนที่เราเรียนมาก็อยู่ในหัวเราอยู่แล้ว และสิ่งเหล่านั้นจะโผล่มาเตือนเราได้ถูกจังหวะ บางคนบอกว่าคนที่มาฝึกสติ ฝึกสมาธิ สามารถประกอบศาสนกิจในศาสนาของตนได้ดีขึ้นด้วยซ้ำไป 

การฝึกฝนแบบนี้ไม่ใช่การเรียกร้องให้นับถือรูปเคารพหรือศาสดาองค์ใหม่อะไร เรามามองในเรื่องหลักการและวิธีการของศาสตร์ทางจิต อันที่จริง ถ้าไปดูในคัมภีร์ของทุกศาสนาจะเห็นว่ามีเรื่องของการฝึกสติให้ระลึกรู้เท่าทันอยู่ เพราะถ้าไม่มีสติระลึกรู้เท่าทัน ความรักที่แท้จะไม่เกิด คำสอนที่บอกว่าใครตบหน้าเรา ให้เรายื่นหน้าให้ตบ จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะไม่ได้ฝึกฝนที่จิต ที่การปล่อยวางตัวตน 

ความเมตตาอย่างเต็มเปี่ยมก็จะเกิดขึ้นด้วยกระบวนการฝึกฝน และแก่นของการฝึกฝนคือการใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ คนที่ศรัทธาไม่ย่อหย่อนเลย ทำตามได้อย่างไม่มีข้อสงสัย ก็จะปฏิบัติไปจนจบได้เหมือนกัน 

นี่เป็นการปฏิบัติในปัจจุบันขณะ ทุกอย่างในปัจจุบันขณะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม และมันจบไปเป็นขณะ ๆ ไป นี่ไม่ใช่เรื่องของความรู้ที่เป็นก้อน ๆ หลายครั้งที่ความรู้ที่เรารู้มาหายไป ข้อความดี ๆ คำสอนเตือนใจดี ๆ หายไปหมด ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาเรียนรู้เรื่องเหตุผลหรือข้อความดี ๆ เพราะเรามีเยอะอยู่แล้ว แต่เวลาจิตตก ของขึ้น เวลามีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น เราลืมสิ่งเหล่านั้นไปหมด ตอนนั้นมีแต่ฉันที่จะเอาอย่างเดียว ทำอย่างไรที่จะให้มีสติเท่าทันการจะเอาของเรา รู้เท่าทันความยึดถือที่เป็นในตอนนั้น เพื่อจะได้คลาย ณ การปฏิบัติในขณะนั้น 

หมวดหมู่
Uncategorized

ภูมิคุ้มกันทางจิต

ภูมิคุ้มกันทางจิต (Mental Immunity)

จิตที่มีภูมิคุ้มกันดีคือ จิตที่ตั้งมั่นไม่หลงไปกับความคิด ความรู้สึก จิตจะมีภูมิคุ้มกันได้ต้องผ่านการเรียนรู้ ฝึกฝน กระตุ้นภูมิ

การฉีควัคซีนต้องทำให้ร่างกายรู้จักรูปร่างหน้าตาของเชื้อโรคแล้วสร้างกลไกการป้องกันขึ้นภายในร่างกาย
เวลาที่มีเชื้อโรคที่ร่างกายรู้จักแล้วรุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย
กลไกการป้องกันที่พัฒนาไว้ก่อนแล้วก็ทำงาน
ป้องกันการขยายตัวของเชื้อโรค จับเชื้อโรคไปทำลาย
เวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันก็จะเริ่มตก ต้องมีการฉีดวัคซีนซ้ำเพื่อกระตุ้นภูมิ

ภูมิคุ้มกันทางจิตก็ทำนองเดียวกัน เริ่มต้นด้วยทำให้จิตมีความรู้จักคุ้นเคยกับเชื้อโรคหรือไวรัสทางใจซึ่งได้แก่ ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล ลังเลใจ กลัว เบื่อเหงา ท้อแท้ ฯลฯ (กิเลส นิวรณ์)
เมื่อรู้จัก จดจำหน้าตาได้แม่นแล้ว เวลาที่มีเชื้อโรค (อารมณ์ ความคิด) ผ่านมาทางใจก็จะเกิดสติระลึกได้ว่า มีเชื้อโรคเข้ามา มันเป็นเพียงวัตถุทางใจ (mental object) เป็นของไม่มีสาระ สร้างภาระให้กับจิตใจ หากเผลอไปเอามาใส่ใจจะเป็นโทษ ทำให้จิตตก ไม่มั่นคง อ่อนแอ หวั่นไหวได้ง่าย
เมื่อระลึกได้ก็สามารถวางใจ ไม่ใส่ใจ กลับมาทำงานดำเนินชีวิตตามปกติต่อไป ไม่หลงไปกับอารมณ์ กับความคิด

คนที่มีภูมิคุ้มกันทางจิตดีจึงหมายถึง คนที่มีจิตมั่นคงไม่หลงไปกับวัตถุทางใจ ไม่ใช่ปราศจากอารมณ์ ความคิดเข้ามากระทบจิต ตรงกันข้าม ยังมีความกลัว ความกังวล ควาหงุดหงิด โกรธ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ ปรากฏอยู่ แต่ส่งผลกระทบต่อจิตใจน้อยลง

คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก็ยังมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายแต่ร่างกายจัดการได้ฉันใด คนที่มีภูมิคุ้มกันทางจิตดี มีจิตที่เข้มแข็งก็จัดการกับอารมณ์ความคิดได้ฉันนั้น ไม่ได้แปลจะไม่มีความคิด ไม่มีอารมณ์และความรู้สึก

เมื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้องแล้วการกระตุ้นภูมิคุ้มกันทางจิตก็จะเป็นเรื่องง่ายมาก มีตัวกระตุ้นภูมิคือมีอารมณ์ความคิดทั้งวันไม่ต้องวิ่งหาเหมือนวัคซีนทางกาย การมีสติระลึกได้แต่ละครั้งก็เหมือนภูมิได้รับการกระตุ้น แต่ถ้าเผลอ ถ้าหลง ก็กลายเป็นปล่อยให้เชื้อเข้าสู่จิตใจ เกิดอาการจิตหวั่นไหวไหลไปตามอารมณ์ ตามความคิด

#ฝึกสติกระตุ้นภูมิคุ้มกันทางจิต

หมวดหมู่
Uncategorized

อคติทำงานเร็วมาก

อคติในใจมันทำงานเร็วมาก
ข้อมูลที่ชอบตรงใจไม่ค่อยคิดจะตรวจสอบ
ข้อมูลที่ไม่ชอบสงสัยเคลือบแคลงต้องหาหลักฐานหักล้าง
และในขณะนี้ข้อมูลมันเยอะมาก พอเจอที่ใช่ทางเราก็ขยายผล
ไม่ใช่ทางเราก็สรุปว่าไม่จริง เชื่อไม่ได้

วัน ๆ ถ้าหมกมุ่นอยู่กับข้อมูลแล้วไม่เท่าทัน
เผลอให้อคติมันทำงานโดยไม่ใส่ใจสังเกต
ใจก็จะมีแต่ความวุ่นวาย ค้นคว้า ฯ เยอะไปหมด
ข้อมูลที่เราเชื่อก็จะถูก feed เข้ามาซ้ำ ๆ จนสิ้นสงสัย
ต่อไปมันก็มีอิทธิพลต่อการรับรู้ตีความของเราเป็นอัตโนมัติ
โดยไม่รู้ตัว

ทั้งหมดนี้คงห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ ขอให้ลองเปลี่ยน mode มาสังเกตพาในใจของเรา
ให้เท่าทันบ้าง หยุด mode การตัดสิน โต้แย้งไว้เป็นระยะ ๆ แล้วมาสังเกตเรียนรู้ธรรมชาติของจิตใจ
เห็นอิทธิพลของความปรุงแต่ง ความชอบ ไม่ชอบ อคติต่าง ๆ บ้าง
เพื่อความเข้าใจปรากฏการณ์เห็นเหตุปัจจัย การทำงานของจิตใจ
เกิดปัญญาเข้าใจตนเอง และจะเข้าใจผู้อื่น

ลองกำหนดช่วงเวลาที่เราจะเอาใจใส่ศึกษาเรียนรู้อคติในใจของตนเองในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ว่า เวลาไหน วันไหน เราจะมาใส่ใจทำแบบฝึกหัด ทำการบ้าน เรียนรู้ปรากฏการณ์ภายในใจของเรา หาตัวช่วยเตือนให้เราไม่ลืมที่จะทำแบบฝึกหัด ทำการบ้านเพื่อพัฒนาจิตใจของเราเอง